วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

เเบบทดสอบอัตนัยเเละปรนัย





แบบทดสอบอัตนัย

แบบทดสอบแบบอัตนัยเป็นแบบสอบที่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบได้สามารถแสดงออกโดยใช้ ภาษาของตนเองในการทา แบบทดสอบประเภทนี้ผู้สอบต้องมีความสามารถในการจัดระเบียบของความ รู้แสดงความคิดริเริ่มและรู้จักการสังเคราะห์ข้อความได้อย่างเหมาะสม และ สามารถใช้วัดในลักษณะ กระบวนการ (Process) ต่างๆได้อย่างมากมายจะให้ผู้ตอบเปรียบเทียบ ให้คำจำกัดความ ตีความหรือ แปลความ ประเมินผลหรืออธิบายความสัมพันธ์ก็ได้ ดังน้ันในการตรวจให้คะแนนข้อสอบนี้จึงตอ้งสร้าง เกณฑ์ไว้ให้ดี มีแนวการตรวจตรงกัน


 ประเภทของแบบทดสอบแบบอัตนัย แบบทดสอบแบบอัตนัย ถ้าแบ่งตามลักษณะของความอิสระในการตอบ จะแบ่งอย่างกว้างๆ ได้เป็ น 2 ประเภท คือ(บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธ์ิ2535: 63) 

1แบบจำกัดคำตอบ (Restricted-response Questions) เป็ นคำถามที่จำกัดให้ตอบท้ัง เนื้อหา (Content)และรูปแบบ (Form) ของการคำตอบ โดยจำ กัดขอบเขตของเนื้อหาและประเด็นใหตอบ เช่น
  
  1 ตรงเปรียบเทียบความเเตกต่างที่สำคัญระหว่างข้อสอบอัตนัยเเละประนัย

  2 จงยกตัวอย่างการกระทำที่แสดงถึงความเป็นพลเมืองดีมา 5 ข้อ


ส่วนดีของข้อสอบแบบนี้คือ สร้างง่าย ใช้วัดความรู้ ความสามารถเฉพาะจงได้ดี แต่ไม่ให้ความ อิสระในการตอบน้อย ผู้ตอบไม่สามารถแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่


2.แบบไม่จำกัดคำตอบ (Extended Response Questions) เป็นแบบคำถามที่เปิดโอกาส ให้ผู้ตอบแสดงความสามารถในความคิดได้อย่างกว้างขวางไม่มีข้อจำกัดผู้ตอบมีอิสระในการที่จะเลือกใช้ ความรู้หรือข้อเท็จจริงใดๆ มาตอบก็ได้ผู้ตอบเป็นผู้ตัดสินใจในการเลือกประเด็นเองเน้นเสรีภาพของการ แสดงออกยั่วยุให้ผู้ตอบเกิดความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์เช่น

1.จงเเสดงความคิดเห็นเกีายวกับการสอนวิชาวิทยาศาตร์

2. ท่านคดิว่าประชาชนได้รับประโยชน์อย่างไรบ้างจากการกู้ยืมเงินจากต่างชาติมาใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ



แบบทดสอบปรนัย 







 แบบทดสอบแบบปรนัย คือข้อสอบที่มีคำตอบไว้ให้แล้ว ผู้ตอบตัดสินใจเลือกตามที่ต้องการหรือ พิจารณาข้อความที่ให้ไว้ว่าถูกต้องหรือไม่ แบบทดสอบแบบปรนัยหมายถึง แบบทดสอบที่มีคุณสมบัติ 3 ประการดังนี้
1) ชัดแจ้งในความหมายของคำถาม 
2) ตรวจให้คะแนนได้ตรงกัน 
3)แปลความหมายของคะแนนได้ตรงกัน 

โดยทั่วไปข้อสอบปรนยัน้นัผตู้อบถูกได้1 ตอบ ผิดได้0 คะแนน จำนวนคะแนนที่ได้จะแทนจำนวนข้อที่ถูก ทำให้สามารถแปลความหมายได้ชัดเจนว่าใคร เก่งอ่อนอย่างไร ตอบถูกมากน้อยต่างกันอย่างไร






ประเภทของแบบทดสอบแบบปรนัยที่นิยมใช้และเป็นที่รู้จักมี 4 ประเภท 

1. แบบถูก-ผิด (True-False)ข้อสอบแบบถูกผิดมีลักษณะเป็นข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี2 ตัวเลือก ผู้ตอบ มีโอกาสเลือกตอบเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งอาจตอบว่าใช่-ไม่ใช่, ถูก-ผิด, จริ ง-ไม่จริง, เป็ นต้น ตัว คำถามของขอ้สอบประเภทนี้จะเขียนในรูปประโยคบอกเล่าธรรมดา หรืออาจเป็นรูปคำถามโดยมีข้อความถูก บ้างผิดบ้างคละเคล้ากันไป ซึ่งผู้ตอบจะต้องเลือกตัดสินใจว่า ข้อความใช่หรือไม่ใช่ 





ข้อสอบแบบถูก-ผิดนี้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าใช้วัดได้เฉพาะความรู้ความจำและความจริ ง แล้วสามารถวัดความเข้าใจและการนำไปใช้ได้ด้วย (บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธ์ิ2535 : 106)



2. แบบเติมคำ(Completion) หรือตอบสั้น (Short Answer)ข้อสอบแบบเติมคำเป็นข้อสอบประเภท ให้ตอบสั้น ๆ มีขอบเขตในการตอบคำถาม อาจอยู่ในรูปคำถามหรือในรูปประโยคบอกเล่าที่เป็นข้อความ ไม่สมบูรณ์โดยเว้นช่องว่างสำหรับให้เติมคำหรือข้อความ ให้ได้ความถูกต้องสมบูรณ์






3. แบบจับคู่(Matching)ข้อสอบแบบจับคู่เป็นข้อสอบที่กำหนดคำหรือข้อความเป็น 2 คอลัมน์แล้ว กำหนดให้ผู้ตอบเลือกหรือข้อความจากคอลัมน์หนึ่งไปใส่ในคำหรือข้อความอีกคอลัมน์หนึ่งที่มี ความสัมพันธ์หรือสอดคล้องกัน ข้อสอบประเภทนี้คลา้ยกับข้อสอบแบบเลือกตอบ แต่ตัวเลือกไม่แน่นอน ตายตัวเพราะตัวเลือกจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อเลือกตอบไปแล้ว





4. แบบเลือกตอบ (Multiple Choices)ข้อสอบแบบเลือกตอบเป็นข้อสอบปรนัยที่นิยมใช้กันมากกว่า ข้อสอบปรนัยแบบอื่น ข้อสอบประเภทนี้มีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่2 ส่วน คือ (ชวาลแพรัตกุล 2516: 166) 

1) ตัวคำถาม (Stem) 
2) ตัวเลือก (Choices หรือ Options) ซึ่งแบ่งเป็ น 2 ประเภทคือ 

- ตัวถูก (Correct Choice) 
- ตัวลวง (Decoys หรือ Distracters) 






 ข้อสอบแบบเลือกตอบที่ดีน้ัน ตวัเลือกทุกตัวจะมีน้ำหนกักพอๆ กนั ถ้าดูเผินๆหรือไม่มีความรู้ในข้อ น้ันจริงจะเห็นว่าถูกหมดทุกข้อ และในการสอบแต่ละคร้ัง ตัวเลือกแต่ละตัว จะมีโอกาสถูกเลือกพอๆ กัน  สำหรับข้อสอบแบบเลือกตอบที่มีลักษณะถูกหรือผิดอย่างเด่นชัดทำให้ข้อสอบขาดคุณค่า และขาด คุณลักษณะความเป็นปรนัยอันเป็นคุณสมบัติสำคัญของ ข้อสอบประเภทนี้


                                                             วิดีโอประกอบการเรียน








ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น